ในยุคที่พลาสติกกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันอย่างแยกไม่ออก เราต่างคุ้นเคยกับภาพขวดน้ำ ถุงพลาสติก หรือบรรจุภัณฑ์จากพลาสติก มีภัยคุกคามตัวจิ๋วที่กำลังแทรกซึมไปทั่วทุกระบบนิเวศของโลก สิ่งนั้นเรียกว่า Microplastic

 

บทความนี้เราจะพาคุณเจาะลึก Microplastic ว่ามันคืออะไรกันแน่ ไปจนถึงแก่นแท้ของปัญหา Microplastic ตั้งแต่คำจำกัดความ แหล่งกำเนิด การเดินทางอันซับซ้อนของมัน ผลกระทบที่ประเมินค่าไม่ได้ต่อสิ่งมีชีวิตและสุขภาพของมนุษย์ ไปจนถึงแนวทางแก้ไขที่เราทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้ เพราะการตระหนักรู้คืออาวุธชิ้นแรกในการต่อสู้กับวิกฤตที่มองไม่เห็นนี้

 


 

Microplastic คืออะไร?

 

Microplastics คือชิ้นส่วนพลาสติกใดๆ ที่มีขนาดเล็กกว่า 5 มิลลิเมตร (mm) หรือเทียบได้ประมาณขนาดของเมล็ดงาหนึ่งเมล็ด นี่คือคำจำกัดความมาตรฐานที่ใช้กันทั่วโลก โดยองค์กรอย่างองค์การบริหารมหาสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐฯ (NOAA) แต่ในความเป็นจริง Microplastic จำนวนมากมีขนาดเล็กกว่านั้นมาก จนถึงระดับไมโครเมตร หรือแม้กระทั่ง “นาโนพลาสติก” (Nanoplastics) ซึ่งเล็กจนสามารถแทรกซึมผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ของสิ่งมีชีวิตได้

 

ความเข้าใจพื้นฐานที่สุดว่า Microplastic คือสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มันคือผลผลิตจากการสลายตัวและแตกหักของพลาสติกขนาดใหญ่ หรือถูกผลิตขึ้นมาให้มีขนาดเล็กตั้งแต่แรก

 

โดยเราสามารถแบ่งประเภทของ Microplastic ตามแหล่งกำเนิดหลักๆ ได้สองประเภท ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการทำความเข้าใจวงจรชีวิตของพวกมัน ดังนี้

 

Microplastic ปฐมภูมิ (Primary Microplastics)

 

Microplastic ปฐมภูมิ คือกลุ่มของพลาสติกที่ถูกผลิตขึ้นมาให้มีขนาดเล็กโดยเจตนา เพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะในการใช้งานต่างๆ พวกมันถูกปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อมในรูปทรงขนาดเล็กนี้โดยตรง ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด ได้แก่

 

  • ไมโครพีดส์ (Microbeads) เม็ดพลาสติกกลมขนาดจิ๋วที่เคยเป็นส่วนผสมยอดนิยมในผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล เช่น สครับขัดผิว ยาสีฟัน หรือเจลอาบน้ำ เพื่อเพิ่มคุณสมบัติในการขัดถู แม้ว่าหลายประเทศทั่วโลก (รวมถึงไทยในบางผลิตภัณฑ์) จะเริ่มมีมาตรการแบนการใช้ไมโครพีดส์เหล่านี้แล้ว แต่ปริมาณมหาศาลที่เคยถูกปล่อยออกไปก่อนหน้านี้ยังคงตกค้างอยู่ในระบบนิเวศ
  • เม็ดพลาสติกตั้งต้น (Nurdles) หรือที่เรียกว่า “เม็ดน้ำตานางเงือก” (Mermaid’s Tears) นี่คือวัตถุดิบตั้งต้นในอุตสาหกรรมพลาสติก มีลักษณะเป็นเม็ดเล็ก ๆ ก่อนที่จะถูกนำไปหลอมและขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์พลาสติกต่าง ๆ ที่เราใช้กัน เม็ดพลาสติกเหล่านี้มักรั่วไหลสู่สิ่งแวดล้อมในระหว่างกระบวนการขนส่งหรือการผลิต

 

Microplastic ทุติยภูมิ (Secondary Microplastics)

 

นี่คือกลุ่มที่น่ากังวลที่สุดและเป็นสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดของปัญหา Microplastic คือพลาสติกที่เป็นผลลัพธ์จากการย่อยสลายและแตกหักของขยะพลาสติกขนาดใหญ่ที่เราคุ้นเคยกันดี เมื่อขยะเหล่านี้ถูกทิ้งในสิ่งแวดล้อม พวกมันไม่ได้ “ย่อยสลาย” หายไปเหมือนวัสดุอินทรีย์ แต่จะ “แตกสลาย” เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยลงเรื่อย ๆ

 

กระบวนการนี้เกิดขึ้นจากปัจจัยทางกายภาพและเคมีหลายประการ แสงแดด (รังสี UV) คลื่นลมในทะเล แรงเสียดทาน และการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ล้วนทำให้โครงสร้างของพลาสติกเปราะบางและแตกออก ขยะทุกชิ้นที่เราเห็น ไม่ว่าจะเป็น ขวดน้ำ ถุงก๊อบแก๊บ อุปกรณ์ประมงที่ถูกทิ้ง (เช่น อวนและเชือก) หรือแม้แต่บรรจุภัณฑ์อาหาร ล้วนเป็นโรงงานผลิต Microplastic ทุติยภูมิที่เดินเครื่องตลอดเวลา

 


 

แหล่งกำเนิดที่เราคาดไม่ถึง มากกว่าแค่ขยะในทะเล

 

เมื่อเรานึกถึงมลพิษพลาสติก ภาพแรกที่มักปรากฏขึ้นคือขยะที่ลอยเกลื่อนในมหาสมุทร แต่ในความเป็นจริงแหล่งกำเนิดของ Microplastic นั้นซับซ้อนและใกล้ตัวกว่าที่เราคิดมาก การทำความเข้าใจว่า Microplastic ผลผลิตจากกิจกรรมใดบ้างจะช่วยให้เราเห็นภาพรวมของปัญหาได้ชัดเจนขึ้น

 

เส้นใยสังเคราะห์จากการซักผ้า

 

หนึ่งในผู้ร้ายหลักที่หลายคนมองข้ามคือเสื้อผ้าที่เราสวมใส่ เสื้อผ้าที่ผลิตจากใยสังเคราะห์ เช่น โพลีเอสเตอร์ (Polyester), ไนลอน (Nylon), และ อะคริลิก (Acrylic) ซึ่งก็คือพลาสติกรูปแบบหนึ่ง ในทุกครั้งที่เราซักผ้าเหล่านี้ เส้นใยขนาดจิ๋ว (Microfibers) นับแสนนับล้านเส้นจะหลุดออกมาปะปนกับน้ำทิ้ง

 

ระบบบำบัดน้ำเสียในปัจจุบันส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อกรองอนุภาคขนาดเล็กเหล่านี้ ทำให้เส้นใย Microplastic จำนวนมหาศาลถูกปล่อยตรงออกสู่แม่น้ำลำคลอง และไหลลงสู่ทะเลในที่สุด นี่คือหนึ่งในแหล่งกำเนิดหลักของ Microplastic ในสิ่งแวดล้อมทางน้ำ

 

การสึกหรอของยางรถยนต์

 

อีกหนึ่งแหล่งกำเนิดมหาศาลคือ “ฝุ่นยาง” (Tire Dust) ยางรถยนต์ไม่ได้ทำมาจากยางธรรมชาติเพียงอย่างเดียว แต่มีส่วนผสมของพลาสติกสังเคราะห์ (Synthetic Polymers) ในสัดส่วนที่สูงมาก เมื่อรถวิ่งไปบนท้องถนน การเสียดสีระหว่างยางกับพื้นผิวถนนจะทำให้ยางสึกหรอและปลดปล่อยอนุภาคขนาดเล็กออกมา อนุภาคเหล่านี้จะถูกชะล้างโดยน้ำฝนลงสู่ท่อระบายน้ำ แม่น้ำ และมหาสมุทร หรือฟุ้งกระจายไปในอากาศกลายเป็นมลพิษทางอากาศที่เราสูดดมเข้าไป นักวิจัยประเมินว่านี่อาจเป็นหนึ่งในแหล่ง Microplastic ปฐมภูมิ (หรือบางครั้งจัดเป็นทุติยภูมิจากการใช้งาน) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

 

สีและสารเคลือบผิว

 

สีทาบ้าน สีทาเรือ หรือสารเคลือบผิวต่างๆ ที่ใช้ในงานอุตสาหกรรมและการก่อสร้าง มักมีส่วนผสมของโพลิเมอร์พลาสติกเพื่อเพิ่มความทนทาน เมื่อเวลาผ่านไป สีเหล่านี้จะหลุดร่อนจากการกัดเซาะของลมฟ้าอากาศ กลายเป็นเศษพลาสติกขนาดเล็กที่ปนเปื้อนทั้งในดินและแหล่งน้ำ

 


 

Microplastic อยู่ที่ไหนบ้าง?

 

คำตอบสั้นๆ คือ “ทุกที่” ความจริงที่น่าตกใจเกี่ยวกับ Microplastic คือความสามารถในการแพร่กระจายไปทั่วทุกมุมโลก ขนาดที่เล็กจิ๋วของมันทำให้มันสามารถเดินทางไปกับกระแสน้ำ กระแสลม และแม้กระทั่งถูกสิ่งมีชีวิตพาไป

 

มหาสมุทร: ซุปพลาสติกโลก

 

มหาสมุทรคือแหล่งสะสม Microplastic ที่ใหญ่ที่สุด พวกมันไม่ได้ลอยอยู่แค่บนผิวน้ำ แต่ยังพบในทุกระดับความลึก ตั้งแต่ผิวน้ำที่ผสมปนเปไปกับแพลงก์ตอน ไปจนถึงตะกอนดินที่ก้นมหาสมุทรที่ลึกที่สุดในโลกอย่างร่องลึกมาเรียนา (Mariana Trench) กระแสน้ำวนในมหาสมุทร (Ocean Gyres) ทำหน้าที่เหมือนเครื่องปั่น ขังวนขยะพลาสติกไว้ในบริเวณที่เรียกว่า “แพขยะ” (Garbage Patches) ซึ่งในบริเวณเหล่านี้ พลาสติกขนาดใหญ่กำลังแตกสลายเป็น Microplastic ในอัตราที่น่าตกใจ

 

น้ำจืด ดิน และแผ่นน้ำแข็ง

 

ปัญหาไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในทะเล Microplastic ถูกพบในแม่น้ำและทะเลสาบสำคัญทั่วโลก ซึ่งทำหน้าที่เป็นทางด่วนลำเลียงมลพิษจากแผ่นดินลงสู่ทะเล นอกจากนี้ มันยังปนเปื้อนในดิน โดยเฉพาะพื้นที่เกษตรกรรมที่อาจมีการใช้ปุ๋ยหมักที่ทำจากกากตะกอนน้ำเสีย (Sewage Sludge) ซึ่งมี Microplastic ปนเปื้อนอยู่สูง หรือจากการใช้พลาสติกคลุมดิน

 

ที่น่าตกใจยิ่งกว่า คือการค้นพบ Microplastic ในพื้นที่ห่างไกลที่ควรจะบริสุทธิ์ที่สุดในโลก เช่น ในหิมะบนเทือกเขาแอลป์ หรือแม้กระทั่งถูกแช่แข็งอยู่ในแกนน้ำแข็งขั้วโลกอาร์กติก ซึ่งบ่งชี้ว่ามันสามารถเดินทางผ่านชั้นบรรยากาศและตกลงมาพร้อมกับหิมะได้

 

อากาศที่เราหายใจ

 

ใช่แล้ว เรากำลังสูดดม Microplastic เข้าไป เส้นใยจากเสื้อผ้า พรม และฝุ่นยางรถยนต์ สามารถฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศที่เราหายใจทั้งในและนอกอาคาร นี่คือช่องทางการรับสัมผัสที่น่ากังวลอย่างยิ่ง เพราะอนุภาคขนาดเล็กเหล่านี้สามารถเดินทางเข้าสู่ปอดส่วนลึกได้โดยตรง

 


 

ห่วงโซ่อาหารที่ปนเปื้อน ผลกระทบต่อระบบนิเวศ

 

การแทรกซึมของ Microplastic ในสิ่งแวดล้อมได้สร้างผลกระทบเป็นวงกว้างต่อสิ่งมีชีวิต โดยเฉพาะในระบบนิเวศทางน้ำ

 

การกลืนกินโดยไม่ตั้งใจ

 

สำหรับสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่อยู่ฐานของห่วงโซ่อาหาร เช่น แพลงก์ตอนสัตว์ (Zooplankton) พวกมันไม่สามารถแยกแยะระหว่างอาหารตามธรรมชาติกับอนุภาค Microplastic ขนาดจิ๋วได้ พวกมันจึงกินพลาสติกเข้าไปโดยคิดว่าเป็นอาหาร เมื่อแพลงก์ตอนซึ่งเป็นฐานอาหารหลักถูกปนเปื้อน ผลกระทบจึงถูกส่งต่อเป็นทอดๆ

 

สัตว์ทะเลขนาดใหญ่ขึ้นมา เช่น ปลา หอย กุ้ง ปู และนกทะเล ต่างก็ตกเป็นเหยื่อเช่นกัน พวกมันกินสัตว์ขนาดเล็กที่ปนเปื้อน หรือกิน Microplastic เข้าไปโดยตรงเพราะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นอาหาร การที่พลาสติกสะสมอยู่ในกระเพาะอาหาร ทำให้พวกมันรู้สึก “อิ่มหลอก” ลดความอยากอาหาร นำไปสู่ภาวะขาดสารอาหาร อ่อนแอ และอาจตายได้ในที่สุด นอกจากนี้ ชิ้นส่วนพลาสติกที่แหลมคมยังสามารถสร้างบาดแผลและการอุดตันในระบบย่อยอาหารได้

 

ม้าโทรจันทางเคมี (Chemical Trojan Horse)

 

นี่คือหนึ่งในแง่มมุมที่อันตรายที่สุดของ Microplastic คือตัวมันเองไม่ได้เป็นเพียงมลพิษทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังมีคุณสมบัติเป็น “ฟองน้ำดูดซับสารพิษ”

 

ประการแรก พลาสติกมักมีสารเคมีเติมแต่ง (Additives) ที่อันตรายในกระบวนการผลิต เช่น สารทาเลต (Phthalates) เพื่อทำให้นุ่ม หรือ บิสฟีนอล เอ (BPA) เพื่อทำให้แข็งใส สารเหล่านี้สามารถรั่วไหล (Leach) ออกมาจากตัวพลาสติกเมื่ออยู่ในสิ่งแวดล้อมหรือเมื่อถูกกินเข้าไป

 

ประการที่สอง ผิวของ Microplastic มีคุณสมบัติดูดซับสารพิษที่ปนเปื้อนอยู่ในน้ำได้ดี สารพิษอันตรายที่ตกค้างยาวนาน (Persistent Organic Pollutants – POPs) เช่น ยาฆ่าแมลง (DDT) หรือ PCBs จะเข้ามาเกาะติดและสะสมบนผิวของ Microplastic ด้วยความเข้มข้นสูงกว่าในน้ำโดยรอบหลายพันเท่า

 

เมื่อสัตว์กิน Microplastic เข้าไป มันจึงไม่ได้กินแค่พลาสติก แต่กำลังรับ “ค็อกเทลสารพิษ” เข้มข้นเข้าสู่ร่างกาย นี่คือกระบวนการที่เรียกว่า “การสะสมทางชีวภาพ” (Bioaccumulation) และเมื่อสัตว์ใหญ่กินสัตว์เล็ก สารพิษเหล่านี้ก็จะยิ่งเข้มข้นขึ้นในลำดับที่สูงขึ้นของห่วงโซ่อาหาร (Biomagnification) จนมาถึงจุดสูงสุดซึ่งรวมถึงมนุษย์ด้วย

 


 

แล้ว Microplastic คือภัยคุกคามต่อสุขภาพมนุษย์หรือเปล่า?

 

คำถามที่ทุกคนกังวลที่สุดคือ แล้วมันส่งผลกระทบต่อเราอย่างไร? เราไม่ได้อยู่เหนือกฎเกณฑ์ของห่วงโซ่อาหาร และหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ก็ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ว่า Microplastic ได้เข้าสู่ร่างกายมนุษย์แล้ว

 

ช่องทางการรับสัมผัส

 

เรากำลังรับ Microplastic เข้าสู่ร่างกายผ่านสามช่องทางหลัก:

 

  1. การบริโภค (Ingestion): นี่คือช่องทางหลัก เรากินมันเข้าไปผ่านอาหารทะเล โดยเฉพาะสัตว์ที่กินทั้งตัวเช่น หอย หรือปลาเล็กปลาน้อย นอกจากนี้ ยังมีการค้นพบ Microplastic ในผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น เกลือทะเล น้ำผึ้ง และเบียร์ ที่น่าตกใจที่สุดคือการปนเปื้อนใน “น้ำดื่มบรรจุขวด” ซึ่งมีงานวิจัยหลายชิ้นพบว่ามีปริมาณ Microplastic สูงกว่าน้ำประปาอย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดว่ามาจากการหลุดร่อนของตัวขวดและฝาพลาสติกนั่นเอง
  2. การสูดดม (Inhalation): ดังที่กล่าวไปแล้ว เราหายใจเอาอนุภาคไมโครพลาสติกที่ลอยอยู่ในอากาศเข้าไป โดยเฉพาะเส้นใยสังเคราะห์จากเสื้อผ้าและฝุ่นยางรถยนต์
  3. การสัมผัสทางผิวหนัง (Dermal Contact): แม้จะยังมีการศึกษาน้อย แต่มีความเป็นไปได้ที่อนุภาคนาโนพลาสติกขนาดเล็กมากๆ อาจซึมผ่านผิวหนังได้ โดยเฉพาะจากเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของไมโครพีดส์

 

หลักฐานในร่างกายมนุษย์

 

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ได้พัฒนาเทคนิคในการตรวจหา Microplastic ในเนื้อเยื่อของมนุษย์ และผลลัพธ์ที่ได้ก็ยืนยันความกังวลของเรา มีการค้นพบไมโครพลาสติกใน:

 

  • อุจจาระ: ยืนยันว่าเรากินมันเข้าไปและมันเดินทางผ่านระบบย่อยอาหารของเรา
  • เนื้อเยื่อปอด: หลักฐานชัดเจนว่าเราสูดดมมันเข้าไป และมันสามารถฝังลึกอยู่ในปอดได้
  • กระแสเลือด: ในปี 2022 มีงานวิจัยที่สร้างความตื่นตะลึงโดยการตรวจพบ Microplastic ในกระแสเลือดของมนุษย์เป็นครั้งแรก แสดงให้เห็นว่าอนุภาคเหล่านี้สามารถเดินทางไปทั่วร่างกายได้
  • รกของทารกในครรภ์: บางทีนี่อาจเป็นหลักฐานที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด การค้นพบ Microplastic ในรกของมารดา บ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ที่ทารกจะสัมผัสกับมลพิษนี้ตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์

 

ความเสี่ยงต่อสุขภาพ (ที่กำลังศึกษา)

 

ณ จุดนี้ วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจน 100% ว่าการสัมผัส Microplastic ในระดับที่เราเผชิญอยู่ทุกวันจะส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวอย่างไร แต่ข้อกังวลหลักๆ ที่กำลังมีการวิจัยอย่างเข้มข้น มุ่งเน้นไปที่ผลกระทบ 3 ด้าน ได้แก่

 

  1. ความเป็นพิษทางกายภาพ (Physical Toxicity): อนุภาคขนาดเล็กอาจทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง (Chronic Inflammation) หรือความเครียดออกซิเดชัน (Oxidative Stress) ในเซลล์ ซึ่งเป็นรากฐานของโรคร้ายแรงหลายชนิด
  2. ความเป็นพิษทางเคมี (Chemical Toxicity): ดังที่กล่าวไปแล้วเกี่ยวกับม้าโทรจัน สารเคมีอันตรายที่รั่วไหลออกมาจากพลาสติก (เช่น BPA, ทาเลต) เป็นที่ทราบกันดีว่าเป็น “สารรบกวนการทำงานของต่อมไร้ท่อ” (Endocrine Disruptors) ซึ่งสามารถก่อกวนระบบฮอร์โมนของร่างกาย ส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์ พัฒนาการ และระบบเผาผลาญ
  3. การเป็นพาหะนำเชื้อโรค: พื้นผิวของ Microplastic ยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ชั้นดีของเชื้อแบคทีเรียและจุลินทรีย์ก่อโรคอื่นๆ ซึ่งอาจเป็นช่องทางใหม่ในการแพร่กระจายเชื้อโรคได้

 

แม้ว่าเราจะยังต้องการงานวิจัยเพิ่มเติมอีกมาก แต่หลักการป้องกันไว้ก่อน (Precautionary Principle) ก็บอกเราว่า การรอให้เกิดโรคร้ายแรงก่อนแล้วจึงค่อยลงมือทำ อาจเป็นสิ่งที่สายเกินแก้

 


 

จะเห็นว่า ปัญหาใหญ่ที่สุดของ Microplastic คือขนาดของมัน เมื่อพลาสติกแตกเป็นชิ้นเล็กระดับไมครอน มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะ “เก็บกวาด” มันออกจากสิ่งแวดล้อม เราไม่สามารถใช้ตาข่ายไปตักมันออกจากมหาสมุทรได้ เพราะนั่นหมายถึงการตักเอาแพลงก์ตอนและสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่เป็นฐานของระบบนิเวศออกมาด้วย เราไม่สามารถกรองมันออกจากอากาศทั้งหมด หรือร่อนมันออกจากดินทุกตารางนิ้วบนโลกได้นั่นเอง